Google

Friday, August 22, 2025

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการสอบเป็น นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ

 ข้อแนะนำเกี่ยวกับการสอบเป็น นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ

คำนำ
ข้อแนะนำนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางและเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่เตรียมตัวสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเป็นนักการทูตปฏิบัติการ กระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากภารกิจของนักการทูตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศของชาติ และเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถรอบด้านทั้งในเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และภาษาต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้ ข้อแนะนำที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้จึงครอบคลุมทุกส่วนของการสอบ ทั้งในด้านความรู้ทั่วไป ความรู้เฉพาะด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และทักษะด้านภาษาต่างประเทศ ผู้จัดทำได้ศึกษาแนวทางการออกข้อสอบในปีก่อนๆ อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าเนื้อหาจะสามารถช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและคุ้นเคยกับรูปแบบคำถามที่อาจต้องเจอในการสอบจริง
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อแนะนำ "เกี่ยวกับการสอบเป็น นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ" ชุดนี้นี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้อ่านทุกท่าน และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ความฝันในการเป็นนักการทูตของคุณเป็นจริงได้ในที่สุด
===============
หมวดที่ 1: ความรู้ด้านการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ
หัวข้อด้านล่างนี้เป็นหัวข้อที่มักจะถูกใช้ในการออกข้อสอบเพื่อวัดความรู้ทั่วไปด้านการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ
-การเมืองและการปกครองของไทย
ประวัติศาสตร์การเมือง: เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475, การรัฐประหารที่สำคัญ และรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ
-โครงสร้างการปกครอง: ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, อำนาจทั้ง 3 (นิติบัญญัติ, บริหาร, ตุลาการ) และบทบาทขององค์กรอิสระ
-นโยบายรัฐบาล: นโยบายสำคัญในปัจจุบัน เช่น นโยบายเศรษฐกิจ, สังคม และการต่างประเทศ
-การเมืองและการปกครองของต่างประเทศ
ระบบการเมืองหลักของโลก: ระบบประชาธิปไตย, สังคมนิยม, คอมมิวนิสต์ และเผด็จการ (ตัวอย่าง: สหรัฐอเมริกา, จีน, รัสเซีย)
-เหตุการณ์สำคัญของโลก: สงครามในยูเครน, ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง, สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ
-องค์การระหว่างประเทศ: บทบาทและหน้าที่ขององค์กรสำคัญ เช่น สหประชาชาติ (UN), สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN), และสหภาพยุโรป (EU)
-เศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ
นโยบายเศรษฐกิจของไทย: แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, นโยบายการเงินและการคลังของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง, และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
-เศรษฐกิจโลก: ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เช่น ภาวะเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย, ราคาน้ำมัน, และสงครามการค้า
-กลุ่มเศรษฐกิจสำคัญ: ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และความตกลงการค้าเสรี (FTA)
-ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์: ทฤษฎีสำคัญที่นักการทูตควรรู้ เช่น เศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค และหลักการเศรษฐกิจพอเพียง
=====================
หมวดที่ 2: ความรู้ด้านสังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี
-ความรู้ด้านสังคมและวัฒนธรรม
สังคมไทย: ลักษณะเฉพาะของสังคมไทย เช่น ระบบอุปถัมภ์, ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนา รวมถึงความท้าทายทางสังคมที่สำคัญในปัจจุบัน เช่น ความเหลื่อมล้ำและปัญหาสังคมผู้สูงอายุ
-วัฒนธรรมโลก: ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทูตวัฒนธรรม (Cultural Diplomacy)
-สิทธิมนุษยชน: หลักการสากลและพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ รวมถึงบทบาทขององค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
-ความรู้ด้านเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: แนวโน้มและผลกระทบของเทคโนโลยีที่พลิกโฉมโลก เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยีควอนตัม, และเทคโนโลยีชีวภาพ
-ภัยคุกคามทางไซเบอร์: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความมั่นคงทางไซเบอร์และแนวทางรับมือภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจ
-นวัตกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน: บทบาทของเทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
ส่วนที่ 2: ความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ (Foreign Language)
หมวดที่ 1: ภาษาอังกฤษ
ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ
ไวยากรณ์ (Grammar)
Tenses: ความเข้าใจและการใช้ Present, Past และ Future Tenses
Parts of Speech: การใช้คำนาม (Nouns), คำสรรพนาม (Pronouns), คำกริยา (Verbs), คำคุณศัพท์ (Adjectives) และคำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs) อย่างถูกต้อง
โครงสร้างประโยค (Sentence Structure): ประโยคที่ซับซ้อน (Complex Sentences), ประโยคความรวม (Compound Sentences) และการใช้เครื่องหมายวรรคตอน (Punctuation)
Conditional Sentences: การใช้ประโยค If-Clause ในรูปแบบต่างๆ
Active and Passive Voice: ความสามารถในการเปลี่ยนประโยคจาก Active Voice เป็น Passive Voice และในทางกลับกัน
คำศัพท์ (Vocabulary)
คำศัพท์ทั่วไป: คำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันและในการสื่อสารทั่วไป
คำศัพท์เฉพาะทาง: คำศัพท์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมาย และการทูต
Idioms and Phrasal Verbs: สำนวนและวลีที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่เป็นทางการ
การอ่าน (Reading Comprehension)
การจับใจความหลัก: ความสามารถในการอ่านบทความ สรุปประเด็นสำคัญ และเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้เขียน
การวิเคราะห์บทความ: การทำความเข้าใจเนื้อหาที่ซับซ้อน เช่น บทความจากวารสารวิชาการ รายงานข่าว หรือเอกสารทางการทูต
การอ่านเร็ว: การสแกน (Scanning) และการอ่านแบบกวาดสายตา (Skimming) เพื่อหาข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
การเขียน (Writing)
การเขียนเรียงความ: การเขียนเรียงความเชิงวิเคราะห์และเชิงโต้แย้งที่มีโครงสร้างชัดเจน
การสรุปความ: การย่อความจากข้อความยาวๆ ให้สั้นกระชับแต่ได้ใจความครบถ้วน
การเขียนจดหมาย: การเขียนจดหมายทางการ (Formal Letters) และการเขียนอีเมลในบริบทต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
หมวดที่ 2: ภาษาที่สาม (ถ้ามี)
ในหมวดนี้จะครอบคลุมภาษาที่สาม ซึ่งมักจะเน้นภาษาหลักที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างประเทศ เช่น จีน, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, สเปน, เยอรมัน, หรือรัสเซีย
ภาษาที่สาม
ความรู้ด้านไวยากรณ์และคำศัพท์ (Grammar and Vocabulary)
ไวยากรณ์พื้นฐาน: ความเข้าใจโครงสร้างประโยคเบื้องต้น การผันคำกริยา และการใช้คำบุพบท
คำศัพท์ทั่วไป: คำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การทักทาย, การแนะนำตัว, และการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว
คำศัพท์เฉพาะทาง: คำศัพท์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการทูตที่ใช้ในภาษานั้น ๆ
ทักษะการอ่าน (Reading Skills)
การอ่านเพื่อจับใจความ: ความสามารถในการอ่านบทความสั้น ๆ เช่น ข่าว, จดหมาย หรือรายงาน เพื่อสรุปใจความสำคัญได้
การทำความเข้าใจบริบท: การตีความความหมายจากบริบทของประโยคหรือย่อหน้า
การสอบภาษาที่สามมักจะมุ่งเน้นความสามารถในการสื่อสารในระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับกลาง เพื่อประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคต
=====================
หมวดที่ 3: ความรู้เฉพาะตำแหน่ง (Specialized Knowledge)
หมวดที่ 1: การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
-การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
หลักการและหน้าที่ทางการทูต
ความหมายของการทูต: ทำความเข้าใจว่าการทูตคืออะไร, บทบาทของนักการทูต, และทำไมการทูตจึงมีความสำคัญต่อรัฐ
-เครื่องมือทางการทูต: การเจรจา, การทำสนธิสัญญา, การประชุม, และการใช้การทูตสาธารณะ (Public Diplomacy)
-การทูตหลายฝ่าย (Multilateral Diplomacy): บทบาทของนักการทูตในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) และอาเซียน (ASEAN)
-ประวัติศาสตร์การทูตไทย
ยุคเริ่มต้น: ความสัมพันธ์ของสยามกับชาติตะวันตกในอดีต (เช่น สนธิสัญญาเบาว์ริง)
-ยุคสงครามโลก: บทบาทของไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
-ยุคปัจจุบัน: พัฒนาการของนโยบายการต่างประเทศของไทยตั้งแต่หลังสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน
-บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ
โครงสร้างและภารกิจ: โครงสร้างของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานในสังกัด เช่น กรมต่างๆ และสถานเอกอัครราชทูต
-บทบาทสำคัญ: การคุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทยในต่างประเทศ, การส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับนานาชาติ, และการเป็นตัวแทนของประเทศไทยในเวทีโลก
-สนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญ
กฎหมายระหว่างประเทศ: หลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศที่นักการทูตควรรู้ เช่น สิทธิอธิปไตยของรัฐ, การไม่แทรกแซงกิจการภายใน, และสนธิสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา
-สนธิสัญญาสำคัญ: ความรู้เกี่ยวกับสนธิสัญญาหลักที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ (WTO), การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) และความมั่นคง (Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons)
แนวคิดใหม่: ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นร่วมสมัยในกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ, การก่อการร้าย, และความมั่นคงทางทะเล
=====================
หมวดที่ 2: สถานการณ์โลกและนโยบายต่างประเทศของไทย
สถานการณ์โลกและนโยบายต่างประเทศของไทย
นโยบายการต่างประเทศของไทย
-หลักการพื้นฐาน: ความเป็นกลาง, การรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ, การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกประเทศ
-นโยบายในภูมิภาค: บทบาทของไทยในอาเซียน, ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และแนวทางการรับมือประเด็นความมั่นคงชายแดน
-นโยบายต่อมหาอำนาจ: การรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา, จีน และมหาอำนาจอื่น ๆ
-สถานการณ์โลกในปัจจุบัน
ความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ: สาเหตุและผลกระทบของสงครามในยูเครน, สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง, และประเด็นความมั่นคงในทะเลจีนใต้
-ประเด็นข้ามชาติ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การก่อการร้าย, อาชญากรรมข้ามชาติ, การอพยพย้ายถิ่นฐาน และการแพร่ระบาดของโรค
-การแข่งขันทางเศรษฐกิจและการค้า: สงครามการค้า, การกีดกันทางการค้า และบทบาทขององค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น WTO และ APEC
-การทูตในยุคดิจิทัล
การทูตสาธารณะ (Public Diplomacy): การใช้สื่อสังคมออนไลน์และเครื่องมือดิจิทัลในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ
-ภัยคุกคามทางไซเบอร์: การทูตด้านความมั่นคงไซเบอร์และแนวทางการทำงานร่วมกับนานาชาติเพื่อรับมือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่
=====================
สำหรับหนังสือที่จะเป็นนักการทูต ควรมีและควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง ดูข้างล่างนี้ครับ
=====================
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1-4 #ebooks
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1
เริ่มต้นทำความเข้าใจโลกการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมืออาชีพ!
สำหรับนักศึกษา นักการทูต หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่กว้างขึ้น พจนานุกรมฉบับนี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ
ภายในเล่ม 1 ประกอบด้วย 3 หมวดวิชาสำคัญที่ครอบคลุมประเด็นหลักของโลกการทูต ได้แก่:
ศัพท์หมวดกฎหมายระหว่างประเทศ: เข้าใจหลักเกณฑ์และข้อบังคับที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่างๆ
ศัพท์หมวดการควบคุมอาวุธและการลดกำลังรบ: เจาะลึกคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและสันติภาพของโลก
ศัพท์หมวดธรรมชาติและบทบาทของการทูต: เรียนรู้แก่นแท้และหน้าที่ของการทูตในโลกยุคใหม่
อย่ารอช้า! ดาวน์โหลดทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเรียนรู้และทำงานของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!
====================
อย่าปล่อยให้โลกแซงหน้า! พจนานุกรมเล่มนี้จะทำให้คุณเท่าทันโลกการเมืองระหว่างประเทศ!
คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมมหาอำนาจถึงตัดสินใจแบบนั้น? ทำไมนโยบายของแต่ละประเทศถึงส่งผลกระทบต่อชีวิตเรา? คำตอบทั้งหมดอยู่ใน "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 2"
พจนานุกรมฉบับนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 3 หมวดวิชาสำคัญที่ทุกคนต้องรู้!
ศัพท์หมวดชาตินิยม จักรวรรดินิยมและลัทธิล่าอาณานิคม: ทำความเข้าใจรากเหง้าของความขัดแย้งและอุดมการณ์ที่ขับเคลื่อนโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศ: เรียนรู้ศัพท์สำคัญที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาลทั่วโลก
ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศสหรัฐอเมริกา: เจาะลึกนโยบายของประเทศที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก เพื่อที่คุณจะเข้าใจทิศทางของโลกในอนาคต
ใครที่อยากรู้เท่าทันโลกการเมืองต้องมีเล่มนี้! ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา นักวิเคราะห์ หรือแค่คนที่อยากเข้าใจข่าวสาร พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าหากันได้อย่างชัดเจน
กดซื้อเลย! แล้วคุณจะมองโลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!
=====================
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 3
พจนานุกรมเล่ม 3 ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจโลกได้ลึกขึ้น!
สำหรับผู้ที่ทำงานด้านการต่างประเทศ นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ ภายในเล่มประกอบด้วย 3 หมวดสำคัญ ที่จะทำให้คุณไม่ตกข่าวและเข้าใจสถานการณ์โลกปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที:
ศัพท์หมวดภูมิศาสตร์และประชากร: เข้าใจคำศัพท์เกี่ยวกับพื้นที่และผู้คน เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์โลกได้อย่างรอบด้าน
ศัพท์หมวดสงครามและนโยบายทางการทหาร: เจาะลึกคำศัพท์ที่ใช้ในบริบทความขัดแย้งและนโยบายด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ
ศัพท์หมวดองค์การระหว่างประเทศ: เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับองค์กรระดับโลก เพื่อเข้าใจบทบาทและอิทธิพลขององค์กรเหล่านั้นในเวทีโลก
ดาวน์โหลดตอนนี้! เพื่อเพิ่มความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
=======================
โลกกำลังเปลี่ยนไป! คุณพร้อมหรือยัง?
นี่คือโอกาสสุดท้ายของคุณที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างแท้จริง!
เล่มนี้คือบทสรุปที่สมบูรณ์แบบที่จะทำให้คุณเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของโลกใบนี้! "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 4 (เล่มจบ)"
ในเล่มสุดท้ายนี้ คุณจะได้พบกับ 2 หมวดวิชาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคปัจจุบัน:
ศัพท์หมวดอุดมการณ์และการสื่อสาร: เข้าใจถึงพลังที่ขับเคลื่อนสังคมและการเมืองโลก และกลยุทธ์การสื่อสารที่สามารถเปลี่ยนความคิดของผู้คนได้
ศัพท์หมวดเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ: ไขความลับของระบบเศรษฐกิจโลก การค้า การลงทุน และผลกระทบที่ส่งตรงถึงชีวิตประจำวันของเราทุกคน
อย่าปล่อยให้ความเข้าใจของคุณขาดหายไป! เล่มนี้จะช่วยเติมเต็มทุกช่องว่างที่เหลืออยู่ และทำให้คุณเป็นคนที่มีความรู้รอบด้านอย่างแท้จริง
ซื้อเลย! เพื่อปิดท้ายคอลเลกชันความรู้ของคุณให้สมบูรณ์แบบ!

Thursday, September 24, 2009

Balance of Power

ดุลอำนาจ

แนวความคิดว่าด้วยวิธีการที่รัฐต่าง ๆ ใช้จัดการกับปัญหาความมั่นคงแห่งชาติ ในรูปแบบของการยักย้ายความเป็นพันธมิตรและการเข้าฝักเข้าฝ่าย ระบบดุลอำนาจนี้เกิดขึ้นจากการรวมผลประโยชน์ของแต่ละรัฐที่มีความเกี่ยวข้องกันให้เข้ามารวมอยู่ด้วยกัน เพื่อขัดขวางผลประโยชน์ของรัฐอื่น ๆ ระบบนี้เกิดขึ้นเมื่อรัฐที่ต้องการเปลี่ยนสถานภาพเดิม ทำการคุกคามความมั่นคงของรัฐที่ต้องการรักษาสถานภาพเดิม แนวความคิดเรื่องดุลอำนาจในทางความสัมพันธ์ระหว่างรัฐนั้น สามารถแสดงให้เห็นได้ในรูปของสมการอำนาจ กล่าวคือ แฟกเตอร์หรือองค์ประกอบของสมการแต่ละข้าง บางทีอาจจะเป็นแบบมีสมดุลกัน หรือบางทีก็อาจมีข้างหนึ่งหนักกว่าอีกข้างหนึ่ง ด้วยเหตุที่รัฐต่าง ๆล้วนมีอธิปไตยและจะพยายามเพิ่มพูนผลประโยชน์แห่งชาติตนอยู่เสมอ ดุลอำนาจนี้จึงอยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นปกติ รัฐใดรัฐหนึ่งอาจจงใจดำเนินนโยบายสร้างดุลอำนาจนี้ก็ได้ ตัวอย่างเช่น บริเตนใหญ่ (อังกฤษ) เคยทำแบบนี้ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทั้งนี้บริเตนใหญ่ (อังกฤษ) เล็งเห็นว่าผลประโยชน์ของตนจะสามารถรักษาไว้ได้ด้วยการที่ตนแสดงบทบาทเป็นผู้ถือดุล เพื่อดำรงดุลยภาพแห่งอำนาจในภาคพื้นยุโรป โดยวิธีที่คอยเคลื่อนย้ายน้ำหนักของตนเข้าไปหาฝ่ายที่อ่อนแอกว่าเมื่อยามที่ดุลยภาพถูกคุกคาม

ความสำคัญ ปรากฏการณ์ดุลอำนาจนี้ มีปรากฎอยู่ดาษดื่นในการเมืองระหว่างประเทศ และก็เป็นลักษณะสำคัญในการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกัน นี้เป็นผลพวงเกิดจากระบบรัฐที่รัฐมวลสมาชิกซึ่งมีเอกราชมีอธิปไตย ต่างมีอิสระที่จะเข้าร่วมหรือถอนตัวจากการเป็นพันธมิตรและเข้าฝักเข้าฝ่าย เพราะแต่ละรัฐสมาชิกต่างก็พยายามที่จะเสริมสร้างความมั่นคงและเพิ่มพูนผลประโยชน์แห่งชาติให้แก่ฝ่ายตนทั้งนั้น ดุลอำนาจนี้มิใช่เรื่องของการแสดงออกถึงความสนใจทั่ว ๆ ไป ในรูปแบบที่เป็นนามธรรม อย่างเช่นในเรื่องของสันติภาพ ทั้งนี้เพราะสันติภาพอาจจะเป็นหรืออาจจะไม่เป็นผลประโยชน์แห่งชาติตนก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกาลเวลา สถานที่ และสถานการณ์ ดุลอำนาจนี้ไม่มีองค์การกลางที่มาคอยชี้นำ และการรวมตัวของรัฐต่าง ๆ ที่มาประกอบเป็นดุลอำนาจนี้จะมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว คือ จะมีการโยกย้ายสมาชิกภาพ การมารวมตัวกันมีห้วงเวลาสั้น ๆ และมีจุดประสงค์จำกัด ดุลอำนาจแบบหลากหลายได้เกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีลักษณะโดดเด่น คือ มีการโยกย้ายปรับเปลี่ยนการรวมตัวกันของมหาอำนาจต่าง ๆ อย่างน้อย 5 ชาติด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความยืดหยุ่น มีจุดประสงค์จำกัด และการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของมหาอำนาจที่มามีส่วนร่วมในดุลอำนาจนี้ด้วย อย่างไรก็ดี ได้มีดุลอำนาจแบบง่าย ๆ หรือดุลอำนาจแบบสองขั้วเกิดขึ้นมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการครอบงำของสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา การเกิดดุลอำนาจแบบสองขั้วนี้เป็นสิ่งที่มีอันตราย เพราะเป็นการลดความยืดหยุ่น มีการแยกผลประโยชน์ไปตามประเด็นที่แยกสองอภิมหาอำนาจออกจากกัน และเป็นการลดโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนฝ่ายกันใหม่ อย่างไรก็ดี เมื่อมีการผ่อนคลายความกระชับการเป็นพันธมิตรในสงครามเย็น และมีการพัฒนาระบบหลายขั้วอำนาจของทั้งสองฝ่ายในสมดุลอำนาจขึ้นมาแล้ว สภาวะก็ได้กลับคืนสู่ดุลอำนาจแบบหลากหลายอีกครั้งหนึ่ง กลไกดุลอำนาจระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็นแบบง่าย ๆ หรือเป็นแบบซับซ้อน มีแนวโน้มที่จะบังเกิดขึ้น หากมีการจัดอำนาจทางการเมืองเสียใหม่ โดยให้กระจายออกไปอย่างกว้างขวางโดยยึดหลักการอื่นที่มิใช่ระบบกระจายอำนาจของรัฐที่มีเอกราชและอธิปไตยอย่างในปัจจุบัน

Balance of Power : Bipolarity

ดุลอำนาจ : สองขั้วอำนาจ

ระบบดุลอำนาจแบบกระชับ ที่อำนาจแบ่งแยกออกไปอยู่ในศูนย์อำนาจที่ขัดแย้งกัน 2 ศูนย์ ระบบสองขั้วอำนาจนี้มีลักษณะตรงกันข้ามกับระบบหลายขั้วอำนาจ ซึ่งอย่างหลังนี้จะมีหลายศูนย์อำนาจ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยให้ระบบดุลอำนาจเกิดภาวะสมดุล ส่วนระบบสองขั้วอำนาจจะเกิดขึ้นเมื่อรัฐที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงหรือการพึ่งพาทางด้านอุดมการณ์หรือทางด้านการเมือง ได้ยอมผูกพันตัวเองกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และยอมเข้าไปอยู่ในระบบสองขั้วอำนาจที่ครอบงำโดยมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่งในสองมหาอำนาจนั้น

ความสำคัญ ระบบสองขั้วอำนาจแบบกระชับนี้ เป็นลักษณะของระบบดุลอำนาจที่บังเกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสองอภิมหาอำนาจ คือ สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา ทำการครอบงำค่าย "โลกเสรี" และค่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งทำการแข่งขันกันในด้านการทหาร การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม การผูกขาดอาวุธนิวเคลียร์ของแต่ละอภิมหาอำนาจภายในค่ายของตนนั้น ได้เป็นแรงบีบบังคับให้รัฐอื่น ๆ ตกอยู่ในฐานะที่จะต้องพึ่งพาเพื่อความมั่นคงของตน อีกทั้งก็ยังจะแบ่งแยกการตกลงใจในปัญหาเกี่ยวกับสันติภาพและสงครามออกเป็นสองอย่างตามค่ายของตนไปด้วย ประเทศเป็นกลางทั้งหลายก็จะถูกบีบบังคับอย่างต่อเนื่องจากทั้งสองฝ่ายให้มายอมศิโรราบต่อความยิ่งใหญ่ของสองอภิมหาอำนาจนี้ โดยผ่านทางการร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อปกป้องตนเองจากแผนการรุกรานของอีกค่ายหนึ่ง นับตั้งแต่ทศวรรษหลังปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา ความกระชับของระบบสองขั้วอำนาจนี้ก็มีแนวโน้มผ่อนคลายลงจากผลกระทบของระบบหลายขั้วอำนาจที่ได้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น ต่อมาได้เกิดการแตกสลายของระบบสองขั้วอำนาจนี้เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเกิดลัทธิชาตินิยมทางด้านการเมืองและทางด้านเศรษฐกิจในรัฐต่าง ๆ การแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ การควบคุมของสองอภิมหาอำนาจได้เพลากำลังลง เนื่องจากได้เกิดความตระหนักว่า อาวุธนิวเคลียร์ไม่สามารถนำมาใช้ได้เนื่องจากใช้แล้วจะเป็นการเสี่ยงกับการถูกศัตรูใช้นิวเคลียร์ตอบโต้ย้อนกลับมาทำลายตนเองได้ รวมทั้งการแตกแยกทางด้านอุดมการณ์ภายในแต่ละค่ายก็ได้ขยายตัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

Balance of Power : Polycentrism

ดุลอำนาจ : ระบบหลายขั้วอำนาจ

สถานการณ์ดุลอำนาจระหว่างประเทศที่มีลักษณะมีศูนย์กลางอำนาจจำนวนหนึ่ง ระบบหลายขั้วอำนาจหรือระบบดุลอำนาจแบบยืดหยุ่นนี้ เคยเป็นระบบที่มีขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยมีมหาอำนาจมามีส่วนร่วมในระบบอยู่จำนวนหนึ่ง ต่อมาระบบนี้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นระบบสองขั้วอำนาจในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการควบคุมของสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา

ความสำคัญ ที่ระบบหลายขั้วอำนาจกลับคืนมาได้นี้ ก็เพราะเกิดการแตกสลายของการครอบงำการเมือง ระหว่างประเทศโดยสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ในระบบสองขั้วอำนาจที่รวมกลุ่มเป็นพันธมิตรแข่งขันกัน ปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นระบบหลายขั้วอำนาจประกอบด้วย (1) เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ดุลการคุกคาม“ ทางอาวุธนิวเคลียร์ ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต ซึ่งไปลดความน่าเชื่อถือที่สองอภิมหาอำนาจนี้ได้ให้สัญญาไว้ว่าจะมาช่วยปกป้องพันธมิตรของฝ่ายตน (2) เกิดความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในยุโรปตะวันออกและยุโรปตะวันตก ซึ่งส่งผลให้มีการลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจต่อสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา (3) เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้นมาใหม่ทั้งในประเทศเก่าและประเทศใหม่ทั้งหลาย (4) เกิดรัฐใหม่ขึ้นมามากมาย ซึ่งผู้นำของรัฐเหล่านี้ต่างแลเห็นว่าผลประโยชน์แห่งชาติตนอยู่ที่การสร้างความทันสมัยทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองให้แก่รัฐตนยิ่งเสียกว่าจะพิจารณาในแง่การแข่งขันกันในสงครามเย็น การมีระบบหลายขั้วอำนาจนี้ หมายถึงว่า รัฐที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมามากนี้สามารถตัดสินใจได้โดยอิสระ ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อระดับความตึงเครียดในโลกได้ด้วย

Foreign Office

กระทรวงการต่างประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกระทรวงการต่างประเทศของประเทศอังกฤษ) เป็นหน่วยงานของฝ่ายบริหาร มีหน้าที่วางและดำเนินนโยบายต่างประเทศ นอกจากจะเรียกหน่วยงานนี้ว่า Foreign Office แล้ว ก็ยังมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษอย่างอื่นด้วย เช่น foreign ministry, ministry of foreign affairs, department of state รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงนี้ เรียกว่า foreign secretary, foreign minister, secretary of state ในรัฐใหญ่ ๆ กระทรวงการต่างประเทศนี้มีแนวโน้มที่จะถูกจัดการบริหารโดยการยึดทั้งหลักภูมิศาสตร์และหลักหน้าที่

ความสำคัญ กระทรวงการต่างประเทศของรัฐใด ๆ ก็ตาม จะเป็นเครื่องมือให้ความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ สามารถดำเนินไปได้ รายงานต่าง ๆ จากนักการทูตที่ส่งไปอยู่ตามประเทศต่าง ๆ เมื่อรับมาแล้วก็จะมีการตรวจสอบและทำการตีค่าเพื่อให้เป็นข้อมูลดิบของนโยบายต่างประเทศในกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนั้นแล้ว กระทรวงการต่างประเทศนี้ก็ยังเป็นที่ร่างคำแนะนำทางนโยบายต่าง ๆ แล้วกส่งไปยังนักการทูตที่ไปประจำอยู่ ณ ต่างประเทศ ในสมัยก่อนหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศมีไม่ค่อยมากเท่าใด แต่ตกมาถึงเดี๋ยวนี้ กระทรวงการต่างประเทศของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของประเทศใหญ่ ๆ เป็นหน่วยงานที่มีการขยายงานใหญ่โตขึ้นมาก มีการจ้างบุคลากรเข้ามาทำงานทั้งในประเทศและในต่างประเทศเป็นจำนวนนับพัน ๆ คน ในอดีตบุคลากรที่เข้ามาทำงานในกระทรวงการต่างประเทศนี้มักเป็นพวกสมัครเล่นที่ผ่านการคัดเลือกตามบุญตามกรรม แต่ตกมาถึงยุคโลกสมัยใหม่นี้ ได้เกิดความซับซ้อน ความหลากหลายในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ก็จึงจำต้องคัดเลือกคนเข้าทำงานในลักษณะที่ต้องเป็นคนมีการศึกษาสูง มีการเลือกเฟ้น มีการฝึกปรือและมีความเชี่ยวชาญขนาดมืออาชีพมากกว่าเดิมยิ่งขึ้น

Foreign Policy

นโยบายต่างประเทศ

ยุทธศาสตร์ หรือแผนปฏิบัติการที่พัฒนาโดยผู้มีอำนาจตัดสินใจแห่งรัฐเพื่อใช้ต่อรัฐอื่น หรือองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่นิยามไว้ว่าเป็นประโยชน์แห่งชาติ นโยบายต่างประเทศอย่างใดอย่างหนึ่งที่ดำเนินการโดยรัฐนี้ อาจเป็นผลมาจากการริเริ่มของรัฐนั้นเองหรืออาจจะเป็นปฏิกิริยาต่อการริเริ่มที่ดำเนินการโดยรัฐอื่น นโยบายต่างประเทศจะเกี่ยวกับกระบวนการแบบพลวัตรของการใช้การตีความผลประโยชน์แห่งชาติที่ค่อนข้างจะกำหนดไว้แน่นอนแล้ว กับองค์ประกอบทางสถานการณ์ที่เลื่อนไหลไม่หยุดอยู่กับที่ของสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติ และจากนั้นก็จะใช้ความพยายามในทางการทูตพื่อให้บรรลุถึงแนวนโยบายให้ได้ สำหรับลำดับขั้นตอนในกระบวนการนโยบายต่างประเทศประกอบด้วย (1) การแปลสิ่งที่พิจารณาว่าเป็นผลประโยชน์แห่งชาติให้เป็นเป้าหมายและจุดประสงค์ (2) การกำหนดองค์ประกอบทางสถานการณ์ทั้งในระดับระหว่างประเทศและในระดับภายในประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเป้าหมายของนโยบาย (3) การวิเคราะห์ขีดความสามารถของรัฐในการที่จะให้บรรลุถึงผลลัพธ์ตามที่ต้องการ (4) การพัฒนาแผนงานหรือยุทธศาสตร์เพื่อจะใช้ขีดความสามารถของรัฐเพื่อดำเนินการกับตัวแปรต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (5) การปฏิบัติการสำคัญ ๆ (6) การทบทวนและการวัดผลความคืบหน้าในการที่จะให้บรรลุถึงผลที่ต้องการตามห้วงเวลาต่าง ๆ กระบวนการที่ว่ามานี้จะไม่เป็นไปตามลำดับดังข้างต้นนี้ก็ได้ บางทีในกระบวนการอาจมีการดำเนินการขั้นตอนหลายอย่างพร้อม ๆ กัน และอาจจะต้องมีการไปเริ่มประเด็นพื้นฐานใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดภาวะชะงักงันขึ้นมา ด้วยเหตุที่สถานการณ์ระหว่างประเทศจะมีลักษณะเลื่อนไหลอยู่เรื่อย ๆ ดังนั้น กระบวนการนโยบายต่างประเทศก็จะมีลักษณะต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา

ความสำคัญ ถึงแม้ว่านโยบายต่างประเทศนี้จะไม่สามารถแยกออกจากนโยบายภายในประเทศได้โดยสิ้นเชิง แต่ก็มีบทบาทสำคัญในกระบวนการตัดสินใจที่ดำเนินการโดยรัฐส่วนใหญ่ ว่าโดยทั่ว ๆ ไปนั้น รัฐที่มีอำนาจมาก ๆ จะทุ่มเทความพยายามและทรัพยากรของตนให้กับการพัฒนาและการดำเนินนโยบายต่างประเทศนี้ยิ่งกว่ารัฐขนาดกลางหรือรัฐเล็ก ๆ คำว่า "นโยบายต่างประเทศ" แม้ว่าจะชอบใช้กันในความหมายกว้าง ๆ ที่กินความไปถึงโครงการต่างประเทศทั้งหลายทั้งปวงที่รัฐดำเนินการอยู่ แต่ก็สามารถใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวกับสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง และการปฏิบัติการของรัฐที่จะให้บรรลุถึงจุดประสงค์ที่จำกัดนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐก็จะต้องดำเนินนโยบายหลายอย่าง ต้องตั้งเป้าหมายไว้หลายเป้าหมาย ต้องวางแผนทางยุทธศาสตร์ไว้หลายแผน ต้องทำการตีค่าขีดความสามารถไว้หลาย ๆ อย่าง ตลอดจนต้องทำการริเริ่มและตีค่าการตัดสินใจและการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งไว้โดยตลอด จะต้องมีการประสานระหว่างนโยบายต่าง ๆ เพื่อให้การวางแผนงานและการปฏิบัติการต่าง ๆ อยู่ในกรอบกว้าง ๆ ของแนวปฏิบัติเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ กิจกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะดำเนินการในกระทรวงการต่างประเทศของรัฐต่าง ๆ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผ่านทางระบบราชการที่จัดแบ่งเป็นหน่วยงานในระดับภูมิภาคและในระดับประเทศ การปฏิบัติการทางนโยบายต่างประเทศยากที่จะประเมินผล ทั้งนี้เพราะ (1) ผลดีและผลเสียในระยะสั้นจะต้องนำมาเปรียบเทียบกับผลดีและผลเสียในระยะยาว (2) ผลกระทบที่เกิดกับชาติต่าง ๆ ยากที่จะประเมิน (3) นโยบายส่วนใหญ่จะส่งผลออกมาในลักษณะที่มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว ซึ่งยากจะแยกแยะออกจากกันได้

Foreign Policy Approach : Realist-Idealist Dichotomy

แนวสู่การศึกษานโยบายต่างประเทศ:แนวสัจนิยม-แนวอุดมคตินิยม

แนวสู่การศึกษาที่เป็นทางเลือกของผู้มีอำนาจตัดสินใจในการสร้างนโยบายต่างประเทศ แนวสู่การศึกษาแบบสัจนิยม ในการสร้างนโยบายต่างประเทศนั้น โดยพื้นฐานแล้วมีลักษณะแบบประจักษ์และยึดแนวทางปฏิบัติ ส่วนแนวสู่การศึกษาแบบอุดมคตินิยมนั้น ตั้งอยู่บนรากฐานของนโยบายต่างประเทศที่เป็นนามธรรมยึดประเพณีนิยม คือ จะเกี่ยวข้องกับบรรทัดฐานระหว่างประเทศ ตัวบทกฎหมาย และค่านิยมทางศีลธรรม-จริยธรรม พวกที่ยึดแบบสัจนิยมมีสมมติฐานว่า องค์ประกอบสำคัญที่ดาษดื่นในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็คือ อำนาจ ดังนั้น การใช้อำนาจอย่างชาญฉลาดและอย่างมีประสิทธิผลของรัฐในการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ เป็นองค์ประกอบหลักของนโยบายต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ ส่วนพวกที่ยึดแนวอุดมคตินิยม มีความเชื่อตรงกันข้ามว่า นโยบายต่างประเทศที่ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักการทางศีลธรรม จะมีประสิทธิผลมากกว่าเพราะจะไปช่วยส่งเสริมความสามัคคีและความร่วมมือระหว่างรัฐต่าง ๆ ยิ่งกว่าจะไปกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันและการขัดแย้งกัน พวกยึดแนวอุดมคตินิยมบอกว่าพลังทางศีลธรรมจะมีประสิทธิผลกว่าพลังทางกายภาพ เพราะมีความคงทนถาวรมากกว่ากัน คือ แทนที่จะใช้กำลังและการบีบบังคับ แนวทางแบบอุดมคตินิยมก็จะใช้วิธีการเอาชนะใจและสร้างความจงรักภักดีให้คนหันมายอมรับหลักการต่าง ๆ ที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมของรัฐ


ความสำคัญ แนวสู่การศึกษาแบบสัจนิยมและอุดมคตินิยมนี้ มีความเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับการอภิปรายถกเถียงกันถึงเรื่องที่ว่า ควรจะใช้แนวในการสร้างนโยบายต่างประเทศแบบไหนถึงจะเป็นแนวที่ดีที่สุด ในประเทศสหรัฐอเมริกา พวกที่ยึดถือตามแนวสัจนิยมบอกว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาถือได้ว่าเป็นประเทศชั้นแนวหน้าเพียงประเทศเดียวก็ว่าได้ ที่ถูกทัศนคติของประชาชนและหลักการทางศีลธรรมชี้นำอย่างผิด ๆ ให้ไปยอมรับแนวปฏิบัติแบบอุดมคตินิยมมาใช้เป็นหลักในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ผลที่เกิดขึ้นตามที่พวกสัจนิยมเห็น ก็คือ การไร้ความสามารถของสหรัฐอเมริกาที่จะแข่งขันอย่างมีประสิทธิผลกับรัฐอื่น ๆ ซึ่งวางนโยบายอยู่บนความจริงแท้ของผลประโยชน์แห่งชาติของตน ส่วนพวกอุดมคตินิยมก็มีแนวโน้มที่จะปฏิเสธแนวทางสู่การศึกษาแบบสัจนิยมที่ถืออำนาจเป็นแกนกลาง โดยบอกว่าเป็นแนวของพวกถือลัทธิแมคเคียเวลลี ซึ่งจะก่อประโยชน์แก่ชาติเพียงเล็กน้อยและช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น พวกยึดแนวแบบอุดมคตินิยมนี้บอกด้วยว่า นโยบายที่จะประสบความสำเร็จส่วนใหญ่แล้ว ก็คือ นโยบายที่ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักการและค่านิยมทางศีลธรรม และก็จะต้องเป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในชาติต่าง ๆ จำนวนนับล้าน ๆ คนด้วย แนวทางนโยบายแบบอุดมคตินิยมที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว มีตัวอย่างเช่น หลักการโฟร์ทีนพอยท์ ของประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน กฎบัตรแอตแลนติกเหนือ ที่ประกาศโดยประธานาธิบดี แฟรงกลิน รูสเวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์ แห่งอังกฤษ ตลอดจนกฎบัตรสหประชาชาติ เป็นต้น แต่ว่าในทางปฏิบัติแล้ว นโยบายส่วนใหญ่จะเป็นการผสมผสานระหว่างลัทธิสัจนิยมและอุดมคตินิยม กล่าวคือ จะใช้แนวทางแบบสัจนิยมมาเป็นตัวกำหนดมรรควิธีที่จะให้บรรลุถึงเป้าหมาย และใช้แนวทางแบบอุดมคติมาเป็นข้ออ้างเหตุผลให้คนสนับสนุนนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐรับมาดำเนินการ